MURSAT Blog


บล็อคส่วนบุคคล ใช้เพื่อประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาการระหว่างนักศึกษาปริญญามหาบัณฑิต หลักสูตรแขนงวิชาเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก บทความวิจัย บทความวิชาการ หรือผลงานอื่นใดที่อ้างอิงถึงในบล็อคนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์ในด้านวิชาการและการศึกษาเพียงเท่านั้น

Monday, August 23, 2010

Usability and Ergonomics Considerations on e-learning of Older Adults

ชื่องานวิจัย/บทความ
Usability and Ergonomics Considerations on e-learning of Older Adults

ผู้เขียน
Klaus Reich, Christian Petter, Kathrin Helling, Elena Müller
Institute for Future Studies , Austria

วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาการสื่อสารสำหรับการให้ข้อมูลสำหรับผู้สูงอายุ

กลุ่มผู้เข้าร่วมงานวิจัย
- ผู้สูงอายุ 50 ปีขึ้นไป

ขั้นตอนงานวิจัย
- ศึกษาถึงข้อจำกัดในการเรียนรู้ของผู้สูงอายุ

ผลการทดลอง
- พบว่าผู้สูงอายุมีข้อจำกัดด้านการได้ยิน การมองเห็น ความสัมพันธ์ของมือและตา การเคลื่อนไหวอย่างระเอียด การเสื่อมการยึดติดของข้อต่อ การว่อมแซ่มของร่างการหลังจากการบาดเจ็บ
- ปัญหาที่ทำให้ผู้สูงอายุไม่สามารถเข้าถึง IT คือ
ปัญหาด้านการอ่าน คือ ขนาดตัวอักษรที่เล็ก แคบ
ปัญหาด้านการเข้าใจ คือ การไม่เข้าใจในภาษาต่างชาติ
ปัญหาทางเทคนิค คือ การไม่เข้าใจถึงการใช้อุปกรณ์
- การกวาดสายตาในการอ่าน การเข้าใจ และการจดจำข้อมูลที่ได้จากกการอ่าน
- มีการแก้ปัญหาด้านนี้โดยการปรับสื่อการรับข้อมูล ปรับจากการอ่านเป็นภาพและการสาธิต

วิเคราะห์งานวิจัย
- เป็นงานที่ศึกษาจากการเสื่อมในด้านต่างๆของผู้สูงอายุ เพื่อให้เข้าใจและการปรับแก้ไขปัญหาการเรียนรู้ในผู้สูงอายุ

ประโยชน์ที่ได้รับ
- นำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ออกแบบ เพื่อผลิตสื่อในการสอนและการเรียนรู้ ในการ ใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน ใช้ยา หรือการเรียนรู้สิ่งใหม่อื่นๆ

Ergonomics for the Aging Population: Implementing Methods to Maintain Quality of Life

ชื่องานวิจัย/บทความ
Ergonomics for the Aging Population: Implementing Methods to Maintain Quality of Life

ผู้เขียน
Margarita M. Posada Fordham University

วัตถุประสงค์
เพื่อศึกษาการปรับสภาพแวดล้อมหรือการนำอุปกรณ์เสริมมาช่วยในการรักษาหรือเพิ่มระดับความสามารถในการดำเนินชีวิต ในทุกๆด้าน

กลุ่มผู้เข้าร่วมงานวิจัย
กลุ่มผู้สุงอายุ

ขั้นตอนงานวิจัย
- ศึกษาถึงจำนวนผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้น เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของ สุขภาพ การมองเห็น การได้ยิน และการเคลื่อนย้ายตัว
- ศึกษาการเปลี่ยนแปลงที่พบมีปัญหาระยะสั้นและระยะยาว อาจต้องมีการรักษาที่ โรงพยาบาล คลินิค ศูนย์ฟื้นฟู หรือศูนย์พักฟื้น ซึ่งปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมนั้นมีผลทั้งทางด้านกายภาพและจิตใจ

ผลการทดลอง
- การปรับพัฒนาสภาพแวดล้อมสำหรับผู้ป่วย เป็นประโยชน์ต่อการทำงานเพื่อลดข้อจำกัดด้านความกังวล โรคประจำตัว และข้อจำกัดอาการในด้านต่างๆ
- สภาพแวดล้อมเช่นความสว่างที่เพียงพอ ความสะดวกสบาย การง่ายต่อการเข้าถึง พื้นที่ และพื้นผิวสัมผัส เพื่อสะดวกในการเคลื่อนที่
- มีงานวิจัยที่รองรับว่า การออกแบบที่ไม่เหมาะสมนั้นส่งผลให้การรักษานั้นดีขึ้นได้ช้า ส่งผลให้ระยะเวลาในการอยู่โรงพยาบาลนานขึ้น
- การออกแบบสถานที่ทำงานของผู้ทำงานทั่วไปนั้น มีผลต่อสุขภาพของผู้ทำงาน ช่วยลดความล้าและเพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน ทำให้สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- มีการศึกษาถึงการออกแบบสำหรับผู้ที่สูงอายุนั้น ใช้ปัจจัยทางกายภาพในการออกแบบอุปกรณ์ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ การมองเห็นและการได้ยินที่ลดลง
- การออกแบบอุปกรณ์ในผู้สูงอายุนั้นต้องทำเพื่อลดความล้าทางร่างกายและความเครียดทางจิตใจ
- มีการศึกษาถึงการปรับสภาพแวดล้อมสำหรับผู้ป่วยนั้น ส่งผลให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดีเร็วมากขึ้น

วิเคราะห์งานวิจัย
ไม่ได้ระบุถึงกลุ่มโรคในกลุ่มผู้ป่วย หรือผู้สุงอายุ

ประโยชน์ที่ได้รับ
- เป็นการรวบรวมงานวิจัยถึงการออกแบบและการปรับสภาพแวดล้อมให้เข้ากับผู้สูงอายุและผู้ป่วย
- สามารถนำข้อจำกัดไปพัฒนาออกแบบอุปกรณ์ให้ผู้สูงอายุ

Thursday, August 19, 2010

Reliability of the Fugl-Meyer Assessment of Sensorimotor Recovery Following Cerebrovascular Accident

ชื่องานวิจัย/บทความ
Reliability of the Fugl-Meyer Assessment of Sensorimotor Recovery Following Cerebrovascular Accident

แหล่งอ้างอิง
http://scholar.google.co.th/scholar?q=Reliability+of+the+Fugl-Meyer+Assessment+of+Sensorimotor+Recovery+Following+Cerebrovascular+Accident&hl=th&as_sdt=0&as_vis=1&oi=scholart
สืบค้นคำว่า cerebrovascular disorder, Extremities, motor skills

วัตถุประสงค์
ศึกษาหาความน่าเชื่อถือของการวัดภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งโดยใช้ Fugl-Meyer Assessment ในผู้ป่วยโรคหลอดสมอง

กลุ่มตัวอย่าง
ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง 19 คน รับการฟื้นฟูที่ Durham Veterans Administration Medical Center
มีเงื่อนไขดังนี้
1.สาเหตุการเป็นโรคหลอดเลือดสมองไม่ได้มาจาก การบาดเจ็บ เนื้องอกในสมอง และการผ่าตัด
2.เป็นโรคหลอดเลือดสมองมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี
3.ไม่ได้รับการฟื้นฟูทางกายภาพบำบัดและกิจกรรมบำบัดระหว่างการศึกษา
4.ผู้ป่วยสามารถเข้าใจคำสั่งและจำสิ่งรอบตัวได้ ได้แก่ ชื่อ เวลา สถานที่

ขั้นตอนการวิจัย
1.นักกายภาพบำบัด 4 คนจากสถาบัน Durham Veterans Administration Medical Center ฝึกโดยประเมินการวัดด้วย Fugi – Meyer tests ประมาณ 1 ชั่วโมง ทดลองวัดจริงในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมาแล้ว 5 คน
2.วัดจริงโดยใช้ Fugi – Meyer tests 5 ครั้ง ได้แก่ ทดสอบทั้งหมด 3 ครั้งและอีก 2 ครั้งทดสอบแขนหรือขา
3.หาค่า intratester reliability ใช้นักกายภาพบำบัดคนเดียว วัดทั้งหมด 3 ครั้งเว้นระยะเวลาสัปดาห์ละ 1 ครั้งใช้เวลา 3 สัปดาห์ ส่วนการหาค่า intertester reliability โดยวัดวันเดียวกับครั้งที่ 2,3
4.แบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 มี 8 คน ทดสอบส่วนรวม 3 แบบทดสอบ และ 2 แขน ส่วนกลุ่มที่ 2 มี 10 คน ทดสอบส่วนรวม 3 แบบทดสอบ และ 2 ขา

ผลการวิจัย
1.ค่าที่วัดได้อยู่ในช่วง 50 ถึง 98 % มีค่าเฉลี่ยที่ 74 %
2.ค่า intratester correlation coefficient มีค่า significant reliability ระดับ 0.001
3.ค่า intertester correlation coefficient มีค่า significant reliability ระดับ 0.05

ประโยชน์ที่ได้รับ
ทราบความน่าเชื่อถือของการวัดภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งโดยใช้ Fugl-Meyer Assessment ในผู้ป่วยโรคหลอดสมอง

วิเคราะห์วิจารณ์
เป็นงานวิจัยที่ดี มีการลงรายละเอียดในการเลือกกลุ่มตัวอย่างไว้อย่างชัดเจน ในงานวิจัยได้ให้นักกายภาพบำบัดมาฝึกใช้แบบทดสอบ Fugi – Meyer tests เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ซึ่งผลของค่า intratester correlation coefficient มีค่า significant reliability ระดับ 0.001 แสดงว่านักกายภาพบำบัดมีค่าสัมประสิทธิ์ในการวัดโดยนักกายภาพบำบัด 1 คนพบค่าที่ได้สูง ส่วนค่า intertester correlation coefficient มีค่า significant reliability ระดับ 0.05 แสดงว่านักกายภาพบำบัดมีค่าสัมประสิทธิ์ในการเปรียบเทียบในนักกายภาพบำบัดหลายคนมีค่าสูง แต่น้อยกว่าระหว่างการวัดโดยนักกายภาพบำบัดคนเดียว ซึ่ง แบบทดสอบ Fugi – Meyer tests เป็นแบบทดสอบที่เยอะและค่อนข้างยากในการประเมินให้ความคิดเห็นของนักกายภาพบำบัดไปในทิศทางเดียวกันหรือเหมือนกัน ดังนั้น เวลาที่ใช้ฝึกนักกายภาพบำบัด 1 ชั่วโมงน่าจะไม่เพียงพอ ในแง่เวลาอาจต้องให้เวลามากขึ้นและเพิ่มจำนวนของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในการฝึกความพร้อมให้นักกายภาพบำบัดมากขึ้น

Inter- tester comparison between visual estimation and goniometric measurement of ankle dorsiflexion

ชื่องานวิจัย/บทความ
Inter- tester comparison between visual estimation and goniometric measurement of ankle dorsiflexion

แหล่งอ้างอิง
http://informahealthcare.com/doi/abs/10.3109/09593989809057153
สืบค้นคำว่า
Inter- tester, visual estimation, goniometric measurement, ankle dorsiflexor

วัตถุประสงค์
เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของ Inter- tester ระหว่างการวัดโดยใช้ visual estimation และอุปกรณ์วัดมุม goniometerของข้อเท้าขณะกระดกข้อเท้าขึ้น

ขั้นตอนการวิจัย
นักกายภาพบำบัดระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ 12 คน วัดค่ามุมการเคลื่อนไหวโดยเริ่มจากการใช้
visual estimation วัดมุมกระดกข้อเท้าขึ้นก่อน ต่อมาวัดด้วย goniometer

ผลการวิจัย
1.ค่าสัมประสิทธิ์ของ visual estimation เป็น 69.4 % และวัดด้วย goniometer เป็น 34.87%
2.มีความผิดพลาดของ visual estimation เป็น 11.1 % และค่าความผิดพลาดของ goniometer เป็น 5.5%

ประโยชน์ที่ได้รับ
ทราบถึงเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของ Inter- tester ระหว่างการวัดโดยใช้ visual estimation และอุปกรณ์วัดมุม goniometerของข้อเท้าขณะกระดกข้อเท้าขึ้น

วิเคราะห์วิจารณ์
จากการศึกษาหากต้องการวัดมุมการเคลื่อนไหวของข้อเท้าควรใช้ goniometer เป็นตัววัดเนื่องจากมีความน่าเชื่อถือมากกว่าและมีความผิดพลาดที่น้อยกว่า

สภาพปัจจุบันของการใช้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการทางการได้ยินในโรงเรียนโสตศึดษา

ชื่องานวิจัย/บทความ
สภาพปัจจุบันของการใช้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการทางการได้ยินในโรงเรียนโสตศึดษา

แหล่งอ้างอิง
http://www.thaiedresearch.org/thaied/index.php

วัตถุประสงค์
1. เพื่อสำรวจชนิดและจำนวนของเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการทางการได้ยินในโรงเรียนโสตศึกษา
2. เพื่อศึกษาสภาพการใช้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการทางการได้ยินในโรงเรียนโสตศึกษา
3. เพื่อศึกษาปัญหาการใช้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการทางการได้ยินในโรงเรียนโสตศึกษา
4. เพื่อศึกษาความต้องการ ความคิดเห็น และข้อเสนอแนะในการใช้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการทางการได้ยิน ในโรงเรียนโสตศึกษา

กลุ่มผู้เข้าร่วมงานวิจัย
ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ ครูประจำชั้น ครูพิเศษ และครูฟื้นฟูสมรรถภาพทางการได้ยิน จำนวน 389 คน และนักเรียนที่พิการทางการได้ยิน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 จำนวน 1,232 คน ในโรงเรียนโสตศึกษา สังกัดกองการศึกษาเพื่อคนพิการ กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นโรงเรียนประเภทประจำ ซึ่งมีทั้งหมด 10 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนเศรษฐเสถียร กทม. โรงเรียนโสตศึกษาทุ่งมหาเมฆ กทม. โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนนทบุรี จ.นนทบุรี โรงเรียนโสตศึกษาอนุสารสุนทร จ.เชียงใหม่ โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดตาก โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดขอนแก่น โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดชลบุรี โรงเรียนโสตศึกษาเทพรัตน์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดสงขลา และโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช
กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ได้แก่ ครูประจำชั้น ครูพิเศษ และครูฟื้นฟูสมรรถภาพทางการได้ยิน จำนวน 73 คน ครูหรือเจ้าหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับอุปกรณ์เครื่องช่วยและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนหูหนวก นักเรียน จำนวน 90 คน จาก 5 โรงเรียน คือ โรงเรียนเศรษฐเสถียร กทม. โรงเรียนโสตศึกษาอนุสารสุนทร จ.เชียงใหม่ โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดขอนแก่น โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดชลบุรี และ โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดสงขลา

ขั้นตอนงานวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย
1. แบบสำรวจอุปกรณ์เครื่องช่วยและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการทางการได้ยิน
2. แบบสำรวจข้อมูลการใช้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการทางการได้ยิน ของครู ในโรงเรียนโสตศึกษา
3. แบบสำรวจข้อมูลการใช้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการทางการได้ยิน ของนักเรียนพิการทางการได้ยิน

เก็บรวบรวมข้อมูลโดยแบ่งเป็น 3 ช่วง ดังนี้

1. แบบสำรวจอุปกรณ์เครื่องช่วยและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการทางการได้ยิน โดยสิ่งแบบสำรวจทางไปรษณีย์ไปยังโรงเรียนทั้ง 5 แห่ง ในช่วงเดือนสิงหาคม 2543
2.แบบสำรวจข้อมูลการใช้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการทางการได้ยิน ของครูในโรงเรียนโสตศึกษา โดยให้ครูประจำชั้น ครูพิเศษ และครูฟื้นฟูสมรรถภาพทางการได้ยินทุกคนจากโรงเรียนตัวอย่าง กรอบแบบสอบถาม ทำการเก็บข้อมูลในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน 2543
3. แบบสำรวจข้อมูลการใช้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการทางการได้ยิน ของนักเรียนพิการทางการได้ยิน โดยผู้วิจัยสัมภาษณ์นักเรียนตัวอย่าง ซึ่งจัดสัมภาษณ์เป็นกลุ่มย่อย ประมาณกลุ่มละ 3-4 คน อธิบายข้อคำถามในแต่ละข้อ ผ่านล่ามภาษามือซึ่งเป็นผู้ช่วยวิจัย บางส่วน ให้นักเรียนเป็นผู้กรอกเอง ส่วนในคำถามปลายเปิดนักเรียนเป็นผู้ตอบเป็นภาษามือ จากนั้นล่ามภาษามือ ซึ่งเป็นผู้ช่วยวิจัย ทำการแปลเป็นภาษาพูดให้ผู้วิจัยเพื่อเขียนคำตอบให้นักเรียนแต่ละคน ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลในเดือน สิงหาคม – กันยายน 2543

ผลการทดลอง
อุปกรณ์เครื่องช่วยและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการทางการได้ยินที่มีการจัดบริการในทุกโรงเรียน ได้แก่ เครื่องช่วยฟังแบกกล่อง เครื่องช่วยฟังแบบทัดหลังหู เครื่องขยายเสียงระบบเอฟเอ็ม ห้องเรียนระบบสนามแม่เหล็กกระจกเงา คอมพิวเตอร์สอนพูด โทรทัศน์ เครื่องเล่นวิดีโอเทป และวิทยุเทป โดยอุปกรณ์ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพดี และได้รับจัดสรรด้วยเงินงบประมาณ ผู้รับผิดชอบดูแลส่วนใหญ่ คือ ครูประจำชั้น ผลการใช้เทคโนโลยีของครู พบว่า มีการนำโทรทัศน์ กระจกเงา เครื่องช่วยฟังชนิดทัดหลังหู และเครื่องเล่นวิดีโอเทปมาใช้ในระดับมาก และมีความต้องการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมากที่สุด เทคโนโลยีที่ทั้งนักเรียนหูตึง และนักเรียนหูหนวกใช้ในระดับมาก ได้แก่ ไฟสัญญาณ และโทรทัศน์ เทคโนโลยีนักเรียนหูตึงมีความต้องการมากที่สุด คือ อินเตอร์เน็ต รองลงมา ได้แก่ เครื่องช่วยฟังชนิดทัดหลังหู และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เทคโนโลยีที่นักเรียนหูหนวกมีความต้องการมากที่สุด คือ ไฟสัญญาณ รองลงมาได้แก่ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล วีดิทัศน์ที่มีล่ามภาษามือ อินเตอร์เน็ต และโทรศัพท์สำหรับคนหูหนวก จากการศึกษาทำให้ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคที่ทั้งครูและนักเรียนส่วนใหญ่ประสบ คือ ขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี ขาดแคลนงบประมาณในการจัดซื้อ และบำรุงรักษาเทคโนโลยี และจำนวนเทคโนโลยีไม่เพียงพอกับจำนวนและความต้องการของนักเรียน

วิเคราะห์งานวิจัย
1. โรงเรียนควรส่งเสริมให้ครูในโรงเรียนใช้ภาษามือไทยให้มากขึ้น เพื่อให้การสื่อสารกับนักเรียนเป็นไปอย่างชัดเจนและถูกต้อง
2. การให้บริการเครื่องช่วยฟังในโรงเรียน ครูผู้รับผิดชอบควรประสานงาน และร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อจัดบริการให้แก่นักเรียนทุกคนอย่างเหมาะสม มีการตรวจสอบระดับการได้ยินของนักเรียนเป็นประจำทุกปี จัดทำพิมพ์หูให้มีขนาดพอดี และหมั่นตรวจสอบสมรรถภาพการทำงานของเครื่องช่วยฟังอย่างสม่ำเสมอ
3. ครูควรกระตุ้นผู้ปกครองของนักเรียนให้เกิดความสนใจและเห็นความสำคัญของการใช้เครื่องช่วยฟัง และจัดหาเครื่องช่วยฟังให้กับนักเรียนตามสิทธิของคนพิการที่พึงได้รับจากรัฐบาลตามพระราชบัญญัติการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ.2534
4. ครูควรกระตุ้นให้ผู้ปกครองให้ความสำคัญและเอาใจใส่เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่นักเรียนใช้ และช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางการได้ยินให้กับนักเรียนอย่างสม่ำเสมอ เช่น ฝึกฟัง – ฝึกพูด ให้กับนักเรียนที่บ้าน

ประโยชน์ที่ได้รับ
ข้อเสนอที่ควยนำไปพัฒนาต่อยอดดังนี้
1. ควรทำการศึกษาความรู้และทัศนคติ ของครูและนักเรียนพิการทางการได้ยิน ในการใช้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการทางการได้ยินเฉพาะอย่าง เพื่อได้ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคจากการใช้เทคโนโลยีนั้น ๆ อย่างแท้จริง
2. ควรศึกษาผลการใช้เทคโนโลยีเฉพาะอย่าง ความพึงพอใจ และประเมินผลจากการใช้ในการพัฒนาทักษะทางภาษาของนักเรียน
3. ควรทำการศึกษาประสิทธิภาพของการใช้เครื่องช่วยฟังในนักเรียนหูตึงและนักเรียนหูหนวก เพื่อให้มีการจัดบริการเครื่องช่วยฟังให้แก่นักเรียนหูหนวกมากขึ้น
4. ควรศึกษาปัญหาและความต้องการในการใช้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการทางการได้ยิน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา โดยใช้การสัมภาษณ์เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและตรงตามความเป็นจริง เพื่อทราบถึงปัญหาและความต้องการของนักเรียนพิการทางการได้ยินเกี่ยวกับการจัดบริการเทคโนโลยีในโรงเรียนครบทุกระดับชั้น
5. ควรทำการศึกษาความรู้และอิทธิพลของผู้ปกครองต่อเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการทางการได้ยิน ศึกษาเฉพาะกรณีนักเรียนไป-กลับ ทั้งนี้เพื่อให้ทราบถึงผลของครอบครัวต่อการใช้เทคโนโลยีของนักเรียน

The Walker Team Product Design Proposal

ชื่องานวิจัย/บทความ
The Walker Team Product Design Proposal

แหล่งอ้างอิง
bme227.pratt.duke.edu/downloads/S06/Walker_Proposal.pdf

วัตถุประสงค์
- วัดแรงกดของมือทั้งสองข้างขณะใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
- การปรับระดับความสูงของระดับมือจับ หรือน้ำหนักของอุปกรณ์ช่วยเดินให้เหมาะแก่การใช้งานสำหรับผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุน
- ศึกษาผลที่พบจาก K Lab motion analysis
- การปรับระดับ walker ที่หลากหลาย

กลุ่มผู้เข้าร่วมงานวิจัย
- ผู้สูงอายุที่มีภาวะกระดูกพรุน

ขั้นตอนงานวิจัย
1. ศึกษาภาวะโรคกรดูกพรุนโรคกระดูกพรุนนั้นคือการเปลี่ยนแปลงไปของกระดูกพบมากและมีโอกาสเสี่ยงที่จะล้ม และสืบเนื่องถึงกระดูกหักได้ ทำให้ต้องใส่ใจถึงการใช้อุปกรณ์ช่วยเดินช่วยเพื่อป้องกันการล้ม
2. ศึกษาการใช้งานของอุปกรณ์ walker การใช้อุปกรณ์ช่วยเดินนี้ต้องคำนึงถึงแรงต่างๆที่
กระทำต่ออุปกรณ์ช่วยพยุง ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยแก่การใช้งานนั่นเอง สิ่งที่ขาดไม่ได้คือความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแขนทั้งสองข้าง ความสามารถในการลงน้ำหนักของขาทั้งสองข้าง องศาการเคลื่อนไหวของ ไหล่ ข้อศอก และข้อมือ
3. เป้าหมายการใช้งานการออกแบบอุปกรณ์ช่วยเดินนั้นต้องคำนึงถึงแรงกดที่มือจับเพื่อความ
ปลอดภัย การง่ายต่อการใช้งาน การง่ายต่อการทำความสะอาด
4. ศึกษาการออกแบบอุปกรณ์ช่วยเดิน เพื่อความปลอดภัย ที่รองผิวสัมผัสพื้นของอุปกรณ์ช่วย
เดิน และมือจับ ดังนี้
- แรงกดที่มือ portable sleeve cantilever handle เป็นวัตถุประสงค์หลักใน
การออกแบบ เพราะเป็นตัวรับน้ำหนักซึ่งมีความสำคัญต่อความปลอดภัยในการใช้งาน การออกแบบนั้นจึงต้องคำนึงถึงสองสิ่งที่มีความสัมพันธ์กันคือ การออกแบบและวัสดุที่นำมาใช้งาน
- ที่รองผิวสัมผัสพื้นของอุปกรณ์ช่วยเดิน ซึ่งอุปกรณ์นี้จะช่วยรับแรงกดที่ผู้ใช้
กระทำต่ออุปกรณ์ช่วยเดิน และส่งผลไปยังพื้น
- การออกแบบมือจับนั้นต้องคำนึงถึงแรงกด ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของมือจับ
ความหนืดของมือผู้ใช้และอุปกรณ์ช่วยเดิน เพื่อไม่ให้ลื่นหลุดมือ
สิ่งที่ต้องคำนึงในการเลือกระหว่างความแตกต่างของการออกแบบและห้าข้อจำกัดนั้นเป็นตัวที่ใช้ในการตัดสินใจ
ปัจจัยที่ 1 ความเป็นได้ในการใช้งาน ต้องคำนึงถึงระยะเวลาในการใช้งาน วัสดุอุปกรณ์ คำนึงถึง 25 %
ปัจจัยที่ 2 การออกแบบนั้นต้องสามารถใช้ได้กับทุกคนไม่คำนึงแต่การใช้งานของคนปกติเท่านั้น คำนึงถึง 25 %
ปัจจัยที่ 3 คือ ส่วนของราคาค่าใช้จ่าย คำนึงถึง 20 %
ปัจจัยที่ 4 คือ ส่วนของน้ำหนักเบา สะดวกในการขนย้าย และการใช้งานคือผู้ที่มีปัญหาอ่อนแรงขาสองข้างสามารถยืนยกอุปกรณ์ช่วยเดินได้ คำนึงถึง 15 %
ปัจจัยที่ 5 คือ ความปลอดภัยในการใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน เพื่อให้อุปกรณ์ช่วยพยุงเดินนั้นรับแรงได้ทุกทิศทาง คำนึงถึง 15 %

ผลการทดลอง



จากตารางพบว่า
1. การใช้ force pad นั้นได้คะแนน 655 จาก 1000 การออกแบบนั้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในการใช้อุปกรณ์ช่วยเดินเล็กน้อย
2. การใช้ walker leg sensor designed ได้คะแนน 645 จาก 1000 การออกแบบโดยใช้สัญญาณนั้น ส่วนผลต่อการเดินและการใช้อุปกรณ์ช่วยเดินให้ดีขึ้นนั้นได้คะแนนค่อนข้างสูง ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และการติดตั้งที่อุปกรณ์ช่วยเดินนั้น ยากในการติดตั้ง จึงมีผลต่อผู้ใช้ค่อนข้างน้อย
3. การใช้ Instrumented Walker Frame ได้คะแนน 525 จาก 1000 เป็นการออกแบบที่ได้คะแนนต่ำสุด เนื่องจากยากในกระบวนการติดตั้งค่อนข้างยาก และการใช้งานนั้นไม่ส่งผลให้การใช้งานดีขึ้น
4. การใช้ portable sleeve - embedded sensors ได้คะแนน 810 จาก 1000 ได้คะแนนค่อนข้างสูงเนื่องจาก มีการติดตั้งสัญญาณที่ค่อนข้างเล็ก ง่ายต่อการติดตั้งและสะดวกต่อการใช้งาน
5. การใช้ the portable sleeve with the cantilever handle (PSCH) ได้คะแนน 890 จาก 1000 ได้คะแนนสูงที่สุดเนื่องจาก มีความเป็นไปได้สามารถใช้งานได้จริง สามารถติดตั้งได้ทุกที่ สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับแต่ละบุคคลจึงส่งผลให้สามารถปรับการเดินได้ดีขึ้น ราคาในการติดตั้งไม่สูง

วิเคราะห์งานวิจัย
- เป็นการเปรียบเทียบอุปกรณ์มือจับแต่ละชนิดที่ออกแบบมาทั้ง 5 แบบ
- ไม่มีการคัดกรองกลุ่มผู้เข้าร่วมการทดลอง
- ไม่มีจำนวนผู้เข้าร่วมการทดลอง

ประโยชน์ที่ได้รับ
- นำมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบอุปกรณ์มือจับในอุปกรณ์ช่วยพยุงเดิน

Thursday, August 12, 2010

Effect of a single of prolonged muscle stretch on spastic muscle of stroke patients

ชื่องานวิจัย/บทความ
Effect of a single of prolonged muscle stretch on spastic muscle of stroke patients

แหล่งอ้างอิง
http://www.ncbi.nlm.nih.gov.ejournal.mahidol.ac.th
สืบค้นคำว่า prolong stretch, spastic, stroke

วัตถุประสงค์
ศึกษาผลของการยืดกล้ามเนื้อค้าง 1 ครั้งในกลุ่มผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกที่มีปัญหากล้ามเนื้อหดเกร็ง (spasticity)

กลุ่มตัวอย่าง
ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง 17 คน อายุ 33 ถึง 79 ปี มีปัญหากล้ามเนื้อหดเกร็ง (spasticity)
ของขา สามารถช่วยขยับข้อเท้ากระดกข้อเท้าขึ้นได้ที่ 0 องศา ไม่มีอาการปวด และไม่เคยมีประวัติโรคทางระบบประสาทมาก่อน

ขั้นตอนการวิจัย
1.กลุ่มตัวอย่างได้ทดสอบโดยการยืนบนเตียงปรับระดับได้ ปรับมุม 85 องศา 30 นาที โดยวัดค่าก่อนทำ หลังทำและหลังทำแล้ว 45 นาที
2.วัดค่า 4 ค่า ดังนี้
1.วัดกล้ามเนื้อหดเกร็ง โดยใช้ modified Ashworth scores (MAS) โดยผู้มีประสบการณ์ในการรักษา
2.วัดมุมการเคลื่อนไหวโดยการใช้ goniometer
3.ใช้ EMG ให้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นเส้นประสาท tibial วัดค่าสูงสุดของ H reflex ในกล้ามเนื้อ soleus ดูเปอร์เซ็นต์ของ M response (H/M ratio)
4.ใช้ EMG ให้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นเส้นประสาท deep peroneal วัดค่า F wave ในกล้ามเนื้อ tibialis anterior ดูเปอร์เซ็นต์ของ M response (F/M ratio)

ผลการวิจัย
1.พบมีภาวะหดเกร็งของกล้ามเนื้อ plantarflexor ลดลง จากการวัดโดยใช้ MAS. โดยก่อนทดสอบได้ 2 ± 0.9, หลังทดสอบได้ 1.2 ± 0.4 และหลัง 45 นาที เป็น 1.5 ± 0.9 (p > 0.05)
2.มุมข้อเท้าเพิ่มสูงสุดหลังทำ ซึ่งก่อนทดสอบได้ 15.1 ± 7.5, หลังทดสอบได้ 20.2 ± 6.4 และหลัง 45 นาที เป็น 16.0 ±6.7 (p < 0.05)
3.ค่า H/M ratios ลดลง ก่อนทดสอบได้ 42.8% ± 22.3%, หลังทดสอบได้ 29.2% ± 17.3% และหลัง 45 นาที เป็น 28.5% ± 20.7%
4.ค่า F/M ratios ลดลง ก่อนทดสอบได้ 5.4% ±3.3%, หลังทดสอบได้ 11.8% ± 8.6%

ประโยชน์ที่ได้รับ
ทราบถึงผลของการยืดกล้ามเนื้อค้าง 1 ครั้งในกลุ่มผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกที่มีปัญหากล้ามเนื้อหดเกร็ง (spasticity)

วิเคราะห์วิจารณ์
เป็นงานวิจัยที่ดี มีการนำเสนอผลสรุปไว้ละเอียดและเข้าใจง่ายแสดงความน่าเชื่อถือไว้อย่างชัดเจน แต่ในกลุ่มตัวอย่างและวิธีการวิจัย ไม่ค่อยละเอียด ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน เช่น กรณีมีอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งน่าจะมีการกำหนดระดับกล้ามเนื้อหดเกร็งไว้อย่างชัดเจนและไม่บอกท่าทางของกลุ่มตัวอย่างขณะวัดภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งและวัดมุมการเคลื่อนไหวข้อเท้า ซึ่งในการวัดท่าที่แตกต่างกันย่อมมีผลที่แตกต่างกัน

The relation between Ashworth scores and neuromechanical measurements of spasticity following stroke

ชื่องานวิจัย/บทความ
The relation between Ashworth scores and neuromechanical measurements of spasticity following stroke

แหล่งอ้างอิง
http://www.ncbi.nlm.nih.gov.ejournal.mahidol.ac.th
สืบค้นคำว่า Ashworth scores, neuromechanical measurements, stroke

วัตถุประสงค์
1.ศึกษาความสัมพันธ์ ความเที่ยงตรง ความเชื่อมั่นของการวัดภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง (spasticity) โดยใช้ modified Ashworth scores (MAS) การวัดโดยใช้เครื่อง joint stretching motor device ในผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก
2.ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดภาวะข้อติด

กลุ่มตัวอย่าง
ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก 34 คน เข้าร่วมศึกษาวัดผลที่ข้อเท้า 20 คน เข้าร่วมศึกษาวัดผลที่ข้อศอก 14 คน โดยทั้งหมดเป็นผู้ป่วยนอกของ rehabilitation Institute of Chicago (RIC)
มีเงื่อนไขดังนี้
1.ภาวะทางโรคประจำตัวคงที่ (medical condition)
2.ไม่มีภาวะผิดปกติเกี่ยวกับการพูดและไม่มีความบกพร่องทางการความจำ การับรู้ (cognitive)
3.ไม่มีปัญหาทางด้านการสั่งการและด้านการรับรู้ความรู้สึกในแขนและขาด้านที่ไม่มีอาการอ่อนแรง
4.ไม่มีปัญหากล้ามเนื้อฝ่อรุนแรงและปัญหาบกพร่องการรับรู้ความรู้สึกรุนแรงในแขนและขาด้านอ่อนแรง
5.มีปัญหากล้ามเนื้อหดเกร็งมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี

ขั้นตอนการวิจัย
1.การวัดค่ากล้ามเนื้อหดเกร็งโดยใช้ MAS เป็นการวัดโดยใช้นักกายภาพบำบัดผู้ที่ได้รับการฝึกและมีประสบการณ์การวัดโดยใช้ MAS มาหลายปี ช่วยขยับข้อต่อ ดูมุมการเคลื่อนไหวและการวัดแรงต้านขณะช่วยขยับข้อให้
2.แบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ตำแหน่ง โดยใช้เครื่อง joint stretching motor device วัดค่าตำแหน่งข้อต่อโดย potentiometer วัดค่าแรงหมุนต้านเกร็ง (torque) โดยใช้ 6- degree of freedom load cell และวัดความเร็วโดยใช้ tachometer
3.ใช้ EMG ติดที่ข้อเท้าในตำแหน่งกล้ามเนื้อ tibialis anterior และด้านข้างกล้ามเนื้อ gastrocnemius ส่วนติดที่ข้อศอกในตำแหน่งกล้ามเนื้อ biceps triceps และ brachioradialis

ผลการวิจัย
1.แรงต้านเพิ่มขึ้นมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งของข้อเท้า พบแรงต้านขณะทำกระดกข้อเท้าขึ้นเท่านั้น
2.กราฟของค่า peak – reflex torque และ reflex gain ในกลุ่มที่มีค่า MAS = 1 มีขนาดใหญ่กว่าในกลุ่มที่มีค่า MAS= 2
3.ค่า intrinsic stiffness (K) และ reflex stiffness (G) ซึ่งเกิดจาก elbow flexor reflexs และ ankle plantarflexor reflex มีความสัมพันธ์กับภาวะข้อติด
4.ในการทดสอบทั้งข้อศอกและข้อเท้าพบว่า ในการทดสอบด้านอ่อนแรงมีการเปลี่ยนแปลงของ ค่า intrinsic stiffness (K) และ reflex stiffness (G) มากกว่าด้านที่ไม่มีอาการอ่อนแรง
5.การวัดโดยใช้ เครื่อง joint stretching motor device และการวัดโดยใช้ MAS ไม่มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05

ประโยชน์ที่ได้รับ
1.ทราบถึงความสัมพันธ์ ความเที่ยงตรง ความเชื่อมั่นของการวัดภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง (spasticity) โดยใช้ modified Ashworth scores (MAS) การวัดโดยใช้เครื่อง joint stretching motor device ในผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก
2.ทราบถึงปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดภาวะข้อติด

วิเคราะห์วิจารณ์
เป็นงานวิจัยที่ดี มีการระบุขั้นตอนการวิจัยไว้ละเอียด แต่ระบุเงื่อนไขกลุ่มตัวอย่างไม่ชัดเจน เช่น ในเรื่องที่ระบุว่าในกลุ่มตัวอย่างต้องไม่มีปัญหากล้ามเนื้อฝ่อรุนแรงและปัญหาบกพร่องการรับรู้ความรู้สึกรุนแรงในแขนและขาด้านอ่อนแรง แต่ไม่มีการระบุเกณฑ์วัดและไม่ได้ระบุระดับของภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งซึ่งอาจทำให้ผลการวิจัยมีความคลาดเคลื่อนได้

Reliability of the Fugl-Meyer Assessment for Testing Motor Performance in Patients Following Stroke

ชื่องานวิจัย/บทความ
Reliability of the Fugl-Meyer Assessment for Testing Motor Performance in Patients Following Stroke

แหล่งอ้างอิง
http://ptjournal.apta.org/cgi/reprint/73/7/447.pdf
สืบค้นคำว่า FuglMeyer assessment, Motor performance, Reliability, Stroke

วัตถุประสงค์
ศึกษาหาค่าความน่าเชื่อถือของการตรวจร่างกายทางกายภาพในโปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพโดยใช้แบบประเมิน Fugl-Meyer

กลุ่มตัวอย่าง
ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจำนวน 12 คน เป็นผู้ชาย 7 คน เป็นผู้หญิง 5 คน อายุ 49-86 ปี มีเงื่อนไขดังนี้
1.เป็นผู้ป่วยในของ Chedoke-McMaster Rehabilitation Centre มา 6 วัน
2.เป็นโรคหลอดเลือดสมองมาแล้ว 6 เดือน

ขั้นตอนการวิจัย
1.ใช้นักกายภาพบำบัดจำนวน 3 คน ซึ่งมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี เป็นผู้ประเมินโดยใช้แบบประเมิน Fugl-Meyer วัดห่างกัน 30 นาที
2.กลุ่มตัวอย่างได้ทำโปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพทุกวัน โดยทีมสหวิชาชีพ ระยะเวลา 10 สัปดาห์

ผลการวิจัย
1.มีค่าความน่าเชื่อถือสูง (intraclass correlation coefficient=.96)
2.มีค่าความน่าเชื่อถือสูงของการแยกประเมินในภาวะปวด (intraclass correlation coefficient=.61)
3.มีค่าความน่าเชื่อถือสูงของการแยกประเมินในส่วนของแขน (intraclass correlation coefficient=.97)
4.กลุ่มตัวอย่างสามารถจัดกลุ่มได้ 3 กลุ่ม ภาวะบกพร่องมาก(severe impairment) 3 คน ; ภาวะบกพร่องชัดเจน (marked impairment) 4 คน,ภาวะบกพร่องปานกลาง (moderate impairment) 4 คน. และภาวะบกพร่องน้อย 1 คน

ประโยชน์ที่ได้รับ
ทราบถึงค่าความน่าเชื่อถือของการตรวจร่างกายทางกายภาพในโปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพโดยใช้แบบประเมิน Fugl-Meyer

วิเคราะห์วิจารณ์
เป็นงานวิจัยที่ดี ระบุกลุ่มตัวอย่างได้ชัดเจน แต่อธิบายถึงขั้นตอนการทำวิจัยไม่ละเอียด ได้แก่ ระยะเวลาที่มาทำการวัด ท่าทางการวัด ช่วงเวลาที่วัดต้องเป็นเวลาเดียวกัน

Prevalence and Management of Poststroke Spasticity in Thai Stroke Patients: A Multicenter Study

ชื่องานวิจัย
Prevalence and Management of Poststroke Spasticity in Thai Stroke Patients: A Multicenter Study

แหล่งอ้างอิง
http://www.ejournal.mahidol.ac.th หรือ J Med Assoc Thai Vol.92 No.10 2009
สืบค้น
คำว่า Muscle spasticity, Prevalence, Risk factors, Stroke, Therapy

วัตถุประสงค์
พื่อศึกษาความชุก การรักษาและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งภายหลังการเกิด
โรคหลอดเลือดสมองที่กล้ามเนื้อ 2 กลุ่ม คือ กล้ามเนื้องอศอกและกล้ามเนื้องอเข่า

กลุ่มตัวอย่าง
1. ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในประเทศไทยจำนวน 327 คน เป็นผู้ชาย 193 คน เป็นผู้หญิง 134 คน ผู้ป่วยทุกรายได้รับโปรแกรมการฟื้นฟูสมรรถภาพตามมาตรฐานจนกระทั่งถึงเป้าหมายของการฟื้นฟูสมรรถภาพหรือเกณฑ์จำหน่ายตามที่กำหนดไว้
2. อาสาสมัครคนปกติ 191 คน

ขั้นตอนการวิจัย
1. ศึกษาทะเบียนโรคหลอดเลือดสมองแบบสหสถาบัน ณ 9 โรงพยาบาลในประเทศไทย
2. ทำการวัดการฟื้นตัวของระบบประสาทด้วย Brunnstrom motor recovery
3. วัดความพร่องสมรรถภาพด้วยแบบประเมิน Barthel
4. วัดสมรรถภาพสมองด้วยแบบประเมินThai Mental State Examination (TMSE)
5. วัดภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งด้วยแบบประเมิน Modified Ashworth Scale (MAS)
6. วัดคุณภาพชีวิตประเมินด้วยแบบสอบถาม WHOQOL-BREF ฉบับภาษาไทย
7. บันทึกการรักษาภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งทุกชนิดที่ผู้ป่วยได้รัับ

ผลการวิจัย
1. ค่าความชุกของภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งภายหลังการเกิดโรคหลอดเลือดสมองเท่ากับร้อยละ 41.6 โดยความชุกของกล้ามเนื้อกลุ่มงอศอกและกล้ามเนื้องอเข่าหดเกร็งเท่ากับร้อยละ 31.2 ส่วนความชุกของกล้ามเนื้อกลุ่มงอศอกและงอเข่าหดเกร็งเพียงข้อเดียว เท่ากับ 4.9 และ 5.5 ตามลำดับ ส่วนมากพบภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งที่ระดับ MAS grade 1
2. ผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งมีระยะเวลาของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองนานกว่า (p = 0.049) เมื่อเทียบกับระดับมาตราฐานของ Brunnstrom motor recovery stage โดยของแขน (p < lang="TH">มือ (p = 0.003) และขา (p < lang="TH">ต่ำกว่าผู้ที่ไม่มีกล้ามเนื้อหดเกร็งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
3. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง คือ Brunnstrom motor recovery stage 2 และ 3 ของแขน
4. ค่า odds ratio เท่ากับ 6.1 (95% CI = 2.5-14.9) และ 3.5 (95% CI = 1.3-9.2) ตามลำดับ
5. มีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง 83 ราย (ร้อยละ 25.4) ที่ได้รับการรักษาภาวะกล้ามเนื้อ หดเกร็ง โดยการออกกำลังกาย รับประทานยาลดเกร็ง และใช้อุปกรณ์เสริมเป็นการรักษา 3 ลำดับแรกที่ผู้ป่วยได้รับ บ่อยที่สุดตามลำดับ

ประโยชน์ที่ได้รับ
ทราบถึงความชุก การรักษาและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งภายหลังการเกิด
โรคหลอดเลือดสมองที่กล้ามเนื้อ 2 กลุ่ม คือ กล้ามเนื้องอศอกและกล้ามเนื้องอเข่า

วิเคราะห์วิจารณ์

เป็นงานวิจัยที่ดี จากผลการวิจัยกล่าวได้ว่า การเกิดภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งมักเกิดในกล้ามเนื้อหลาย ๆมัดมากกว่าเกิดแยกมัด และงานวิจัยได้กำหนดเงื่อนไขของกลุ่มตัวอย่างในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองได้ไม่ชัดเจน เช่น ไม่บอกความต้องการในเงื่อนไขกลุ่มตัวอย่างมีภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งระดับไหน มุมการเคลื่อนไหวของข้อศอกและข้อเข่าอยู่ในช่วงเท่าไร การสื่อสารเข้าใจในกรณีต้องการให้กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถาม

Walker-Assisted Gait in Rehabilitation: A Study of Biomechanics and Instrumentation

ชื่องานวิจัย/ บทความ
Walker-Assisted Gait in Rehabilitation: A Study of Biomechanics and Instrumentation

แหล่งอ้างอิง
http://ieeexplore.ieee.org/xpls/abs_all.jsp?arnumber=918282

วัตถุประสงค์
เพื่อศึกษาการทำงานของกล้ามเนื้อแขนในการใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน (walker)

กลุ่มผู้เข้าร่วมงานวิจัย
1. ผู้เข้าร่วมงานวิจัยจำนวน 7ท่าน ชาย 4ท่าน หญิง 3 ท่าน
2. ผู้เข้าร่วมอายุ 27.9 ± 7.5 ปี
3. น้ำหนัก 74.8 ± 24.4 กิโลกรัม
4. ส่วนสูง 174 ± 6.4 เซ็นติเมตร
5. ไม่มีการผ่าตัดที่ขาส่วนล่าง
6. พยาธิสภาพที่ขา
7. ไม่มีการจำกัดของระบบหัวใจและหลอดเลือด

ขั้นตอนงานวิจัย
1. คัดกรองผู้เข้าร่วมงานวิจัย
2. ศึกษาจากล้องsix-camera Vicon motion analysis system using a Micro-VAX 3100
3. โดยการติดmarkers ที่ landmark สำคัญที่แขน
4. การลงน้ำหนักของขาที่ 0% , 10% และ 50% ของน้ำหนักตัว

ผลการทดลอง

ผลการทดลองพบว่าการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ ข้อศอกและข้อมือซึ่งเปลี่ยนไปตาม cycle ของการใช้ walker จากท่าลุกนั่ง ดังนี้
1. การเคลื่อนไหวของไหล่ในท่ายกแขนมาด้านหน้าและ เหยียดไปด้านหลัง อยู่ในช่วง 35 องศา และ 5 องศา ตามลำดับ
2. การเคลื่อนไหวของศอกในท่างอศอกด้านหน้า อยู่ในช่วง10- 30 องศา
3. การเคลื่อนไหวของข้อมือในท่ากระดกขึ้น 20-40 องศา
4. การเคลื่อนไหวของไหล่ในท่ากางแขนออก อยู่ในช่วง 4-8 องศา
5. การเคลื่อนไหวของไหล่ในท่าหมุนแขนเข้าด้านใน อยู่ในช่วง 0-15 องศา
6. การเคลื่อนไหวของศอกในการคว่ำและหงายมือ อยู่ในช่วง5 องศา และ 5 องศา ตาลำดับ
7. การเคลื่อนไหวของข้อมือในท่าเอียงมือขึ้นลง อยู่ในช่วง 0 องศา และ 10 องศาตามลำดับ

วิเคราะห์งานวิจัย
1. เป็นงานวิจัยที่ระเอียดในการคัดกรองดี
2. นำมาประยุกต์ได้น้อยเนื่องจากมีแรงกดต่างกันในผู้สูงอายุ

ประโยชน์ที่ได้รับ

1. เพื่อนำผลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อประยุกต์ออกแบบอุปกรณ์ อุปกรณ์ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย

2. การออกแบบเพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่ย ออกแรงไม่มาก และสามารถใช้ได้ทุกคน ดดยมีข้อจำกัดน้อย

EVALUATION OF THE STABILITY OF SIT-TO-STAND

ชื่องานวิจัย/บทความ
EVALUATION OF THE STABILITY OF SIT-TO-STAND

แหล่งอ้างอิง
http://mandh2007.upol.cz/www/download/full_paper_example.pdf

วัตถุประสงค์
1.
เพื่อศึกษาการลุกขึ้นยืนจากการนั่งเก้าอี้
2.
เพื่อศึกษาความแตกต่างของลุกขึ้นยืนในแต่ละข้าง
3.
มุมของข้อสะโพก ข้อเข่า เป็นต้น

กลุ่มผู้เข้าร่วมงานวิจัย
1. เพศหญิง 21 คน สุขภาพดี
2.
อายุ 24±4 ปี
3.
น้ำหนัก 61±15 กิโลกรัม
4.
ส่วนสูง 168.5±11.5 เซ็นติเมตร
5. ไม่มีการบาดเจ็บของระบบกระดูกกล้ามเนื้อ

ขั้นตอนงานวิจัย
1. คัดกรองผู้เข้าร่วมงานวิจัย
2. ด้วยเครื่อง 3D videography analysis (APAS)
3. โดยการติด 22 markers ที่ landmark สำคัญ

ผลการทดลอง



1.
มุมในการเคลื่อนไหวของข้อต่างๆ ในร่างกายไม่มีความแตกต่างกันของขาทั้ง
2 ข้าง

วิเคราะห์งานวิจัย
เป็นงานวิจัยที่คัดกรองผู้เข้าร่วมงานวิจัยที่ดี เพื่อนำมาศึกษาต่อยอดจากสิ่งที่มี

ประโยชน์ที่ได้รับ
1. ทราบถึงมุมการทำงานของขา
2. เพื่อพัฒนาออกแบบอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการลุก โดยที่ไม่ยากเท่าเดิม

How to quantify knee function after total knee arthroplasty ?

ชื่องานวิจัย/บทความ
How to quantify knee function after total knee arthroplasty ?

แหล่งอ้างอิง
http://dare.ubn.kun.nl/dspace/bitstream/2066/74939/1/74939.pdf

วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาการทำงานของเข่าหลังมีการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า
2. ศึกษาเปรียบทียบโดยใช้วิธีแบบทดสอบและการทดสอบสมรรถภาพการทำงานของข้อเข่า

กลุ่มผู้เข้าร่วมงานวิจัย
1. ผู้ที่ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่ามาอย่างน้อย 16 เดือน
2. ผู้ที่เปลี่ยนข้อเข่า จำนวน 28 คน และคนสุขภาพดี 31 คน เป็นคนที่ออกกำลังกายด้วยการ ตี tennis วิ่งและที่ชมรมจักรยานเสือภูเขา โดยไม่มีการบาดเจ็บที่เข่าหรือขาก่อน
3. โดยทั้ง 2 กลุ่มมีเพศ อายุ และBMI อยู่ในเกณฑ์เดียวกัน

ขั้นตอนงานวิจัย
1. คัดกรองจากแบบสอบถาม The Western Ontario and McMaster Universities Osteoarthritis Index (WOMAC) and Knee Society Score (KSS)
2. ใช้การทดสอบ sit to stand movement โดยเก้าอี้นั้นออกแบบเป็นพิเศษ โดยไม่มีที่ท้าวแขน มีความลึกและกว้างให้พอเหมาะ โดยมุมข้อเข่าด้านหลัง 90 องศา
3. ใช้การทดสอบ Maximal Isometric Contraction (MIC) ต้านแรงของกล้ามเนื้อ ด้วยการงอและการเหยียดขา รวม 4 ครั้งโดยเทียบซ้ายขวา
4. ใช้การทดสอบ Timed-up-and-Go (TUG) โดยการจับเวลาลุกจากเก้าอี้โดยมีที่ท้าวแขน เดินระยะทาง 3 เมตร หมุนตัวและเดินกลับ มานั่ง
5. ใช้การทดสอบ Functional content validity โดยการให้ทำกิจกรรมต่างๆโดยทดสอบควบคู่กับการให้คะแนนความเจ็บปวด โดยคะแนนอาการปวดต้องไม่เกิน 5/10

ผลการทดลอง
1. จากแบบสอบถาม The Western Ontario and McMaster Universities Osteoarthritis Index (WOMAC) and Knee Society Score (KSS) พบว่า


กลุ่มผู้ที่มีสุภาพดีจะมีความสามารถในการทำกิจกรรมดำรงชีวิตที่ดีกว่าผู้ที่ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า

2. จากการทดสอบ sit to stand movement พบว่ามีองศาการเคลื่อนไหวน้อยกว่าคนสุขภาพดีทั้งข้อสะโพก ข้อเข่า แต่องสาการเคลื่อนไหวของข้อเท้าไม่แตกต่าง
3. จากการทดสอบ Timed-up-and-Go (TUG) พบว่าผู้ที่ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่ามีการใช้เวลาในการทดสอบมากกว่าคนสุขภาพดี



4. จากการทดสอบ Maximal Isometric Contraction (MIC) พบว่าผู้ที่มีการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่ามีกำลังกล้ามเนื้อที่น้อยกว่าขาข้างที่ไม่ได้ผ่าตัด แต่กำลังกล้ามเนื้อขาข้างที่ไม่ได้ผ่าตัดนั้นแข็งแรงกว่าคนสุขภาพดี


วิเคราะห์งานวิจัย
- เป็นงานวิจัยที่ละเอียด มีการคัดกรองผู้เข้าร่วมงานวิจัยได้ชัดเจน
- มีการทดสอบการทดลองที่หลากหลายเป็นมาตราฐานเพื่อยืนยันในเรื่องเดียวกัน

ประโยชน์ที่ได้รับ
- ผู้ที่เปลี่ยนข้อเข่ามีการทำงานของเข่าลดลงไปจากคนทั่วไป ซึ่งเป็นข้อที่ควรทราบในการคัดกรองเข้าร่วมงานวิจัย
- เป็นการทดลองเปรียบเทียบเพื่อยืนยันในสิ่งเดียวกัน

Tuesday, August 10, 2010

Electromyographic and Cinematographic Analysis of Movement horn a Kneeling to a standing Position in Healthy 5- to 7-Year-Old Children

ชื่องานวิจัย/บทความ
Electromyographic and Cinematographic Analysis of Movement horn a Kneeling to a standing Position in Healthy 5- to 7-Year-Old Children

แหล่งอ้างอิง
Physical Therapy Vol.71 No.1 Jan 1991

วัตถุประสงค์
-เพื่อศึกษาการทำงานของกล้ามเนื้อขาที่ใช้ในการลุกขึ้นจากพื้นสู่ท่ายืนของเด็กปกติ อายุ 5-7 ปี
-เพื่อศึกษามุมของข้อสะโพก ข้อเข่า และข้อเท้าที่เปลี่ยนไป

กลุ่มผู้เข้าร่วมงานวิจัย
-เด็กสุขภาพแข็งแรงอายุ 5.2 to 7.9 ปี จำนวนหญิง 6 คน ชาย 4 คน
-น้ำหนัก 15.6 – 25 กิโลกรัม
-สูง 108 – 127 เซ็นติเมตร

ขั้นตอนงานวิจัย
1.ติดอุปกรณ์ electrodes ขนาก 4 มิลลิเมตร ที่ 4 มัดกล้ามเนื้อที่ต้องการศึกษา
2.ดูเครื่อง Vanguard Motion Analyzer
3.และติดLandmark ตรงบริเวณ
1.greater trochanter
2. femur ห่างจาก greater trochanter 5 เซ็นติเมตร
3. มุมในการหมุนข้อเข่า
4. มุมข้อเท้าด้านนอก
5. นิ้วเท้านิ้วที่ 5 ของฝาเท้า
6. มุมระหว่าง ASIS และ PSIS
7. Crest of the ilium
8. กึ่งกลางระหว่าง รักแร้กับ Crest of the ilium
9. ไหล่ข้างเดียวกันกับขาที่จะตรวจ
10. หูด้านหน้า
4.ส่งเสียงเป็นสัญญาณเตือน
1. พร้อมยืนค่ะ คือเด็กตั้งขาขึ้น
2. ลุกยืนค่ะ คือเด็กลุกสู่ท่ายืน
5.นำผลที่ได้มาคำนวณและแปรค่า

ผลการทดลอง





1.จากท่านั่งพื้นสู่ท่ายืนนั้นกล้ามเนื้อที่ทำคือ กล้ามเนื้อ tibialis anterior และกล้ามเนื้อ biceps femoris เป็นกล้ามเนื้อหลักที่ทำงานตลอดช่วงการเคลื่อนไหว ส่วนกล้ามเนื้อ gastrocnemius และ rectus femoris muscles ทำแค่บางช่วงของการเคลื่อนไหว
2.ความสัมพันธ์ในการทำงานของมุม สะโพก เข่า และข้อเท้า ของแต่ละช่วงการเคลื่อนไหว


วิเคราะห์งานวิจัย
1.มีการคัดกรองกลุ่มผู้เข้าร่วมงานวิจัยได้ดี
2.มีการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้วัดได้อย่างเหมาะสม
3.มีผู้เข้าร่วมงานวิจัยค่อนข้างน้อย

ประโยชน์ที่ได้รับ
1.ได้ความสัมพันธ์ของมุมของข้อสะโพก ข้อเข่า และข้อเท้า ที่เปลี่ยนแปลงไปจากการเคลื่อนไหวต่างๆ
2.ทราบการทำงานของกล้ามเนื้อขาที่ใช้ในการลุกขึ้นจากพื้นสู่ท่ายืนของเด็กปกติ อายุ 5-7 ปี
3.ประยุกต์ใช้ในการทำงานการทำงานของกล้ามเนื้อขา ในลักษณะนั่งพื้นไปยืน
4.สามารถนำมาพัฒนาออกแบบอุปกรณ์ช่วยยืนได้